วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

ข้าวหอมมะลิ

ข้าวหอมมะลิ (อังกฤษThai jasmine rice) เป็นสายพันธุ์ข้าวที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย มีลักษณะกลิ่นหอมคล้ายใบเตย เป็นพันธุ์ข้าวที่ทำให้ข้าวไทยเป็นสินค้าส่งออกที่รู้จักไปทั่วโลก
ข้าวเป็นอาหารหลักของพลโลกมานานนับพันปี บางภูมิภาคนำข้าวไปแปรรูปเป็นแป้งเพื่อปรุงแต่งเป็นอาหาร สำหรับภูมิภาคเอเชียบริโภคข้าวในรูปลักษณ์ดั้งเดิมและมีข้าวหลากหลายพันธุ์ให้เลือก สำหรับประเทศไทยแล้วข้าวหอมมะลิ ถือว่าเป็นสุดยอดของข้าวและกำลังเป็นที่ต้องการของผู้นิยมบริโภคข้าวทั่วโลกในชื่อ Jasmine Rice
เมื่อปี พ.ศ. 2497 นายทรัพธนา เหมพิจิตร ผู้จัดการบริษัทการส่งออกข้าว จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รวบรวมพันธุ์ข้าวหอมในเขตอำเภอบางคล้า ได้จำนวน 199 รวง แล้ว ดร.ครุย บุณยสิงห์ (ผู้อำนวยการกองบำรุงพันธุ์ข้าวในขณะนั้น) ได้ส่งไปปลูกคัดพันธุ์บริสุทธิ์และเปรียบเทียบพันธุ์ที่ สถานีทดลองข้าวโคกสำโรง (ขณะนี้เป็นสถานีข้าวลพบุรี) ดำเนินการคัดพันธุ์โดยนักวิชาการเกษตรชื่อนายมังกร จูมทอง ภายใต้การดูแลของนายโอภาส พลศิลป์ หัวหน้าสถานีทดลองข้าวโคกสำโรง
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2502 ได้พันธุ์บริสุทธิ์ข้าวขาวดอกมะลิ 4-2-105 และคณะกรรมการพิจารณาพันธุ์ ข้าวได้อนุมัติให้เป็นพันธุ์ส่งเสริมแก่เกษตรกร เมื่อ วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 โดยเกษตรกรทั่วไปเรียกว่า ขาวดอกมะลิ 105 ต่อมาได้มีการปรับปรุงพันธุ์ข้าว ขาวดอกมะลิ 105 จนได้ข้าวพันธุ์ กข 15 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ประกาศให้ ข้าวทั้ง 2 พันธุ์เป็นข้าวหอมมะลิไทย

ข้าวตู

ข้าวตู เป็นขนมไทยที่ทำจากข้าวสวยที่เหลือรับประทาน โดยนำข้าวเหล่านั้นไปตากแห้งแล้วโม่ให้ละเอียด นำมากวนกับน้ำตาล น้ำ และมะพร้าวขูดให้เข้ากัน พอเย็นใส่ข้าวคั่วบดคนให้เข้ากัน ปั้นเป็นก้อน จัดเรียงใส่หม้อ อบด้วยควันเทียนอบ กระดังงาหรือดอกมะลิ
ขนมที่ใกล้เคียงกับข้าวตูได้แก่ ขนมไข่มด เป็นขนมโบราณ ใช้ข้าวสวยร้อนๆผสมน้ำตาลปี๊บ มะพร้าวขูด เกลือป่น ขนมไข่จิ้งหรีด หรือขนมไข่มดกรอบ ใช้ข้าวที่เหลือตากแห้งเป็นเม็ดๆ มาคั่วให้กรอบ แล้วคลุกกับน้ำตาล นำ มะพร้าวขูด กวนให้เข้ากันในกระทะ
ทางภาคใต้มีขนมชนิดหนึ่งเรียกขนมหน้างอน คล้ายข้าวตูของภาคกลาง แต่แผ่เป็นแผ่นแทนการปั้นเป็นก้อน

อั่งเปา

อั่งเปา (จีน红包พินอินhóngbāo หงเปา) เป็นเงินของขวัญที่มีการให้และรับในวัฒนธรรมจีน ชื่ออั่งเป่าภาษาจีนมาความหมายถึง ซองสีแดง ที่มอบให้โดยมีเงินบรรจุอยู่ด้านใน ซึ่งเงินที่บรรจุภายในเรียก 利是 (Laวi Si, Lee See) อั่งเปานิยมมีการให้มอบให้ในงานสำคัญของครอบครัว เช่น พิธีแต่งงาน หรือ วันตรุษจีน (วันปีใหม่ของจีน) โดยในวันตรุษจีนผู้ที่มีอายุสูงกว่าหรือทำงานมีเงินเดือนแล้ว จะเป็นคนให้อั่งเป่าแก่เด็กหรือญาติที่ยังไม่ได้ทำงาน
สีแดงของซองเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความโชคดี และเงินที่บรรจุภายบางครั้งจะเป็นเลขนำโชค เช่น เลข 8 อ่านในภาษาจีนจะมีความหมายถึงความรุ่งเรือง หรือความร่ำรวย

ซูชิ


ซูชิ (ญี่ปุ่น寿司 sushi ซุชิ  และมีการเขียนหลายแบบ ได้แก่ すし、鮨、鮓、寿斗、寿し、壽司 ?) หรือ ข้าวปั้นมีหน้า เป็นอาหารญี่ปุ่น ที่ข้าวมีส่วนผสมของน้ำส้มสายชู และกินคู่กับปลา เนื้อ หรือ ของคาวชนิดต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ซูชิมักจะหมายถึงอาหารที่มีส่วนประกอบของ ซูชิเมะชิ (寿司飯, ข้าวที่ผสมน้ำส้มสายชู) และมีหน้าแบบต่างๆเป็นหน้า ที่นิยมได้แก่ อาหารทะเล ผัก ไข่เห็ด เนื้อที่นำมาใช้อาจจะเป็นเนื้อดิบ หรือ เนื้อที่ผ่านกระบวนการทำอาหารแล้ว สำหรับในประเทศอื่น และซูชิส่วนใหญ่มักใส่วาซาบิ บนข้าวเพื่อให้ได้ความอร่อยมากยิ่งขึ้น
ซูชิ หมายถึง การรวมกันระหว่างปลากับข้าว ซูชิมีวิวัฒนาการมาเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วซึ่งเกิดจากความต้องการถนอมอาหารของคนญี่ปุ่น
คำว่า "ซูชิ" นิยมหมายถึง นิงิริซูชิ ที่เป็นข้าวมาอัดเป็นก้อนและมีเนื้อปลาวางบนด้านหน้าเท่านั้น[ต้องการอ้างอิง]

ประเภทของซูชิ[แก้]

นิงิริซูชิ (Nigiri Sushi) เป็นซูชิพบได้บ่อยในภัตตาคาร ซูชิจะมีลักษณะข้าวเป็นก้อนรูปวงรีแล้ววางเนื้อปลาดิบ ปลาหมึก ฯลฯ ไว้ข้างบน อาจจะใส่วาซาบิเล็กน้อย หรือตกแต่งด้วยสาหร่ายทะเลก็ได้ ซูชิแบบนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด
ข้าวปั้นที่กดข้าวเป็นสี่เหลี่ยมมนๆ ด้วยฝ่ามือและมีอาหารสดวางอยู่ด้านบน มีวาซาบิใส่ไว้นิดหน่อยระหว่างกลาง อาจมีการพันสาหร่ายแผ่นบางๆ ไว้ด้วย วัตถุดิบที่นิยมนำมาทำก็คือ ปลาดิบ ปลาหมึก ปลาไหล ไข่หวาน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า หอยเม่น หรืออาหารทะเลอื่นๆ ก็ได้เหมือนกัน
มากิซูชิ (Maki Sushi) Makizushi หรือ Norimaki หรือ Makimono ซูชิรูปทรงกระบอกม้วนยาว ใช้สาหร่ายแผ่กว้างใส่ข้าวใส่ผักใส่เนื้อหรือปลาลงไป วางบนแผ่นไม่ไผ่ที่ใช่ห่อซูชิ แล้วม้วนให้เข้ากัน ตัดให้พอดีคำ แบ่งได้ 4 ชนิดดังนี้
* Hosomaki ซูชิทรงกระบอกขนาดเล็กบางๆ ห่อด้วยสาหร่าย ส่วนใหญ่จะมีไส้เพียงอย่างเดียว เช่น แตงกวา แครอท ทูน่า เป็นต้น โดยที่ไส้แตงกวา จะเรียกว่า Kappamaki เป็นชื่อที่ได้มาจากปีศาจน้ำกัปปะที่ชื่นชอบการกินแตงกวาเป็นพิเศษ และซูชิชนิดนี้นิยมทานเพื่อล้างปากระหว่างการทานปลาดิบกับอาหารชนิดอื่นๆ เพื่อที่เราจะได้เข้าถึงรสชาติของปลาดิบได้มากขึ้นนั่นเอง
* Uramaki ซูชิรูปทรงกระบอกขนาดกลางๆ ใช้ข้าวห่อ สาหร่าย แตงกวา มายองเนส อะโวคาโด แครอท เนื้อปู ทูน่า ม้วนละโรยด้วยเมล็ดงา
* Gunkan maki ข้าวปั้นรูปไข่ ใช้สาหร่ายพันรอบข้าวและมีอาหารทะเลหรือของสดวางไว้ข้างบน แต้มวาซาบิไว้ข้างในด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นไข่ปลา ไข่กุ้ง หอยเม่น เป็นต้น
* Temaki ซูชิรูปกรวยนั่นเอง ไส้ต่างๆ ห่อด้วยข้าวและสาหร่ายอีกชั้นพันห่อเป็นรูปกรวย ซูชิแบบนี้ใช้มือหยิบทานจะถนัดกว่า
อินะริซูชิ (Inari Sushi) เต้าหู้ทอดแผ่นบางยัดไส้ซูชิเข้าไป มีทั้งข้าว ปลาดิบและผัก บางที่ก็นำไข่บางๆ มาทำเป็นที่ห่อแทนด้วย แต่รสชาติจะหวานกว่า
ชิราชิซูชิ (Chirashi Sushi) เป็นการจัดปลาดิบ ปลาหมึก กุ้ง ผัก ฯลฯ ที่หั่นเป็นชิ้นๆ วางเรียงบนข้าวในภาชนะต่างๆ ชาวโอซาก้าเรียกว่า Gomokuzushi แบบคันไซไม่มีการจัดเรียงมากมายตักใส่ข้าวลงในชาม โรยด้วยสาหร่ายและผักตามแต่จะชอบแต่ต้องเป็นของที่ไม่หนักท้องเท่าไหร่ ซูชิชนิดนี้จัดทำในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันไป
โอชิซูชิ (Oshi Sushi) หรือรูปแบบคันไซจากเมืองโอซาก้า เอาข้าวแล้ววางเนื้อปลาไว้ด้านบนมาอัดลงในแม่พิมพ์รูปสี่เหลี่ยมตามยาวหั่นขนาดพอดีให้รับประทานเป็นคำๆ
* Temarizushi ข้าวปั้นของเป็นลูกกลมๆ วางหน้าซูชิแต้มวาซาบินิดนึงแล้วห่อกับพลาสติกบีบด้วยฝ่ามือให้เข้ากัน ก็เสร็จเรียบร้อย ก็นิยมใช้อาหารทะเลและอาหารสด อาหารย่างก็ได้เหมือนกัน
สุงะตะซูชิ (sugata sushi) ซูชิที่นำปลาทั้งตัวมาล้างและควักเครื่องในออกให้สะอาด มาหั่นเป็นแว่นๆ แล้วนำไปวางบนข้าว บางแห่งนำหัว และ/หรือ หางปลาไปยัดไส้ข้าว ก็มี
นาเระซูชิ (naresushi) ซูชิที่มีลักษณะคล้ายกับปลาส้ม

ชิ้นส่วนต่างๆของปลาที่ทำซูชิ[แก้]

โดยทั่วไปแล้วทูน่าในซูชิมีส่วนประกอบหลักๆ 3 ส่วน
  • Akami: คือทูน่าที่มีเนื้อสีแดงแบบไร้มัน ซึ่งจะอยู่ในส่วนหลังปลา และเป็นซูชิแบบทั่วไป, ส่วนเนื้อแดงที่นิยมสุดจะอยู่ Senaka (หลังส่วนกลาง – Middle part of back) และ Sekami (ตรงหลังส่วนหน้า – Upper part of back), ส่วนที่นิยมน้อยที่สุดคือ Seshimo (หลังสุด – Bottom part of back)
  • Toro: คือทูน่าติดมันหรือละลายในปากตามต้นความหมายเดิมของภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นซูชิชั้นดี, Chu-toro ทูน่าตรงท้องส่วนกลาง เป็นส่วนที่มัน ซึ่งอร่อยและแพง, O-toro ทูน่าตรงท้องด้านหน้า เป็นส่วนที่มันที่สุด ซึ่งอร่อยและแพงที่สุด
  • ส่วนอื่นๆ: เช่น Noten (หัวส่วนหน้า), Hoho (แก้ม), Kama (แก้มด้านหลัง) อาจไม่ค่อยเจอบ่อยในร้านทั่วไป ต้องบางร้านที่มีเมนูเฉพาะเท่านั้น

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

3ห่วง 2เงื่อนไข 4มิติ

   3ห่วง 2เงื่อนไข 4มิติ
เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ประกอบไปด้วยอะไรบ้างนั้น เราได้สรุปรวบยอดมาให้เข้าใจได้ง่ายๆ พร้อมทั้งนำภาพประกอบความเข้าใจ มาให้ดูด้วยเพื่อความเข้าใจที่แจ่มแจ้งขึ้น ซึ่ง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข นั้น แท้จริงแล้ว เป็นบทสรุปของเศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง คือสรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้
 
 
3 ห่วง คือทางสายกลาง ประกอบไปด้วย ดังนี้
            ห่วงที่ 1 คือ พอประมาณ หมายถึง พอประมาณในทุกอย่าง ความพอดีไม่มากหรือว่าน้อยจนเกินไปโดยต้องไม่เบียดเบียนตนเอง หรือผู้อื่นให้เดือดร้อน
            ห่วงที่ 2 คือ มีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ
            ห่วงที่ 3 คือ มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล        2 เงื่อนไข ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่
เงื่อนไขที่ 1 เงื่อนไขความรู้ คือ มีความรอบรู้เกี่ยวกับ วิชาการต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการ วางแผน และความระมัดระวังในขั้นตอนปฏิบัติ คุณธรรมประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
เงื่อนไขที่ 2 เงื่อนไขคุณธรรม คือ มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
นั่นคือสรุปรวบยอดของ เศรษฐกิจพอเพียง สรุปได้เป็น 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ดังที่ได้กล่าวมา หลายๆคนอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ แล้วคงกระจ่างกันสักที เกี่ยวกับ เศรษฐกิจพอเพียงแบบ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น

               4มิติ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่
แนวทางการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในมิติด้านวัตถุ
โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรีปลูกฝังการประหยัด สร้างสมการออม  ด้วยการจัดกิจกรรมธนาคารขยะรีไซเคิล สายใยรักแห่งครอบครัว ซึ่งเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ความร่วมมือกลุ่มเบญจกัลยาณมิตร โดยช่วยกันเก็บวัตถุที่ไม่ใช้ เช่น เศษกระดาษ ขวดน้ำพลาสติก เศษเหล็ก ขวดแก้ว  เป็นต้น นำมาเปลี่ยนเป็นเงินออม ปลูกฝัง   ให้รู้จักค่าของเงิน ใช้เงินอย่างมีเหตุผล กิจกรรมประหยัดพลังงาน ช่วยกันปิดน้ำหรือปิดไฟที่ไม่ได้ใช้  เพื่อช่วย ลดค่าใช้จ่าย
 แนวทางการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในมิติด้านสังคม                                                            
โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรีเป็นโรงเรียนคุณธรรมชั้นนำ/วิถีพุทธต้นแบบ ของเขตดุสิต มุ่งปลูกฝังให้นักเรียนเป็นเด็กดี มีปัญญา และมีความสุขอยู่ในสังคม  โดยจัดกิจกรรมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้นักเรียนมีจิตสำนึกที่ดีงามตามหลักคุณธรรม จริยธรรม เช่น โครงงานคุณธรรมสำนึกดี CSR  จัดเปิดตลาดนัดคุณธรรมสำนึกดี CSR สร้างจิตอาสา ทำดีถวายองค์พ่อหลวงแม่หลวง โดยให้นักเรียนนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนหรือจำหน่าย ผลกำไรที่ได้ นำมาจัดกิจกรรมจิตสาธารณะ เช่น นำสังฆทานไปถวายพระสงฆ์ที่อาพาธที่โรงพยาบาลสงฆ์  นำของเล่นและขนมไปมอบให้เยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากการเดินขบวน  การซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดมอบให้วัดน้อยนพคุณ เป็นต้น โครงงานแผนที่คนดี โครงการปลอดสารเสพติดในสถานศึกษา กิจกรรมรณรงค์การไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง
แนวทางการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในมิติด้านสิ่งแวดล้อม
โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรีสนับสนุนให้นักเรียนมีจิตอาสา/จิตสาธารณะ ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เช่นกิจกรรมเดินรณรงค์ ลดโลกร้อน  กิจกรรม 5 ส พัฒนา น.ค. ให้สะอาด กิจกรรมเส้นทางน้ำใจ สายใยผูกพัน ทำดีถวายในหลวง ปลูกต้นไม้ ให้ชุมชน ปลูกฝังการประหยัด รักความสะอาจและมีน้ำใจ ด้วยการนำน้ำที่เหลือจากการดื่มจากขวดเทใส่ถัง เพื่อนำมาใช้รดน้ำต้นไม้หรือใช้ผสมสีในวิชาศิลปะการวาดภาพ ส่วนขวดนำมาประดิษฐ์เป็นโคมไฟหรือนำไปจำหน่าย กิจกรรมไหว้ครูให้นักเรียนเปลี่ยนจากการทำพานดอกไม้ธูปเทียน มาเป็นไหว้ครูด้วยต้นไม้เพื่อนำมาปลูกในโรงเรียน  สร้างบรรยากาศสภาพแวดล้อมสวยงาม ร่มรื่น
แนวทางการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในมิติด้านวัฒนธรรม    
โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรีสืบสานศิลปวัฒนธรรมประเพณีไทย จัดกิจกรรมประกวดกระทงจากวัสดุธรรมชาติ  กิจกรรมส่งเสริมดนตรีโปงลาง การเล่นโขน  การรำวงมาตรฐาน การละเล่นของไทย โดยจัดการเรียนรู้ในหลักสูตรเพิ่มเติมของโรงเรียน กิจกรรมวัน 3 พ พัฒนาลูก น.ค. เป็นคนดี 


วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แฮมเตอร์

แฮมสเตอร์ (อังกฤษHamster) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Cricetinae ในวงศ์ Cricetidae มีหลากหลายสกุล หลายชนิด

ลักษณะทั่วไป[แก้]

ลักษณะโดยทั่วไปของแฮมสเตอร์ ขนาดตัวจะมีขนาดเล็ก อ้วนป้อม และมีหางสั้นกว่าลำตัว และมีขนาดเล็ก อย่างเห็นได้ชัด สีขนมีหลายสี เช่น ดำ, เทา, ขาว, น้ำตาล, เหลืองเข้ม, เหลือง และแดง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดที่แตกต่างกันออกไป ส่วนสีขนด้านใต้ท้องจะเป็นสีขาว มีตาดวงกลมโต และจมูกที่ไวต่อการได้กลิ่นหอม

การค้นพบและที่มา[แก้]

แฮมสเตอร์ เป็นสัตว์ที่กระจายพันธุ์ในทะเลทรายของภูมิภาคตะวันออกกลางเอเชียกลาง จนถึงเอเชียตะวันออก ถูกค้นพบครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 กลางทะเลทรายซีเรียน และถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงครั้งแรกเมื่อปี 1930 ที่สหรัฐอเมริกา
ซึ่งคำว่า "แฮมสเตอร์" (Hamster) นั้นที่มาจากภาษาเยอรมัน แปลว่า "กระพุ้งแก้ม" เนื่องจากแฮมสเตอร์นั้นมีกระพุ้งแก้มที่ใช้สำหรับเก็บอาหารได้มาก เทียบเท่ากับมนุษย์หนึ่งคนที่เก็บอาหารที่มีน้ำหนักถึง 70 ปอนด์ ไว้ในกระพุ้งแก้ม[1]

สัตว์เลี้ยงและวัฒนธรรมร่วมสมัย[แก้]

ปัจจุบัน แฮมสเตอร์และแฮมสเตอร์แคระเป็นที่นิยมอย่างมากในการเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงไปทั่วโลก แฮมสเตอร์สามารถกินอาหารได้หลากหลาย โดยเฉพาะเมล็ดพืช เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน เป็นต้น แฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่ชอบออกกำลังกายมาก ในแต่ละวัน ผู้เลี้ยงอาจจะหาลูกบอลกลมหรือกงล้อให้วิ่ง ซึ่งในแต่ละคืน แฮมสเตอร์สามารถวิ่งได้ไกลถึง 30 ไมล์ แฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่แพร่พันธุ์ได้เร็วมาก ตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้เพียง 2 เดือนครึ่ง-3 เดือนเท่านั้น แต่ไม่สามารถที่จะผสมพันธุ์ขณะที่ลูกยังไม่อย่านมจะทำให้แม่แฮมสเตอร์นั้นเหนื่อยและไม่ส่งผลดีต่อร่างกายควรจะเว้นไว้สัก 2-3 เดือนเพื่อให้แม่แฮมสเตอร์ได้พักผ่อน[1]
ในวัฒนธรรมร่วมสมัย แฮมสเตอร์ถูกสร้างเป็นอะนิเมะสัญชาติญี่ปุ่นเรื่อง Hamtaro (แฮมทาโร่ แก๊งจิ๋วผจญภัย) ซึ่งเคยถูกนำมาออกอากาศในประเทศไทยทางช่อง 7 ในเวลา 06.00 น. ของวันเสาร์[2]

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560

จันทรุปราคา

จันทรุปราคา (ชื่ออื่น เช่น จันทรคาธจันทรคราสราหูอมจันทร์ หรือ กบกินเดือนอังกฤษlunar eclipse) เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์ผ่านหลังโลก ซึ่งเกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อดวงอาทิตย์ โลกและดวงจันทร์เรียงตรงกันพอดีหรือใกล้เคียงมาก โดยมีโลกอยู่กลาง ชนิดและระยะของอุปราคาขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดวงจันทร์เทียบกับปมวงโคจร (orbital node)
จันทรุปราคาสามารถดูได้จากทุกที่ในฝั่งกลางคืนของโลก ซึ่งต่างกับสุริยุปราคาซึ่งมองเห็นได้จากพื้นที่ค่อนข้างเล็กของโลก จันทรุปราคากินเวลาเป็นชั่วโมง ขณะที่สุริยุปราคาเต็มดวงกินเวลาเพียงไม่กี่นาทีในที่หนึ่ง ๆ เนื่องจากเงาของดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่า นอกจากนี้ จันทรุปราคายังสามารถดูได้โดยไม่ต้องมีสิ่งป้องกันดวงตาหรือการป้องกันเป็นพิเศษ เพราะมืดกว่าจันทร์เพ็ญ

มาตราดังชง[แก้]

อองเดร ดังชงคิดค้นมาตราต่อไปนี้ (เรียก มาตราดังชง) เพื่อจัดความมืดโดยรวมของจันทรุปราคา[1]
L=0: อุปราคามืดมาก แทบมองไม่เห็นดวงจันทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลางคราสเต็มดวง (mid-totality)
L=1: อุปราคามืด มีสีเทาหรือออกน้ำตาล แยกแยะรายละเอียดได้ยาก
L=2: อุปราคาสีแดงเข้มหรือสนิม เงากลางมืดมาก ขณะที่ขอบนอกของอัมบราค่อนข้างสว่าง
L=3: อุปราคาสีแดงอิฐ เงาอัมบราปกติมีขอบสว่างหรือสีเหลือง
L=4: อุปราคาสีแดง-ทองแดงหรือส้มสว่างมาก เงาอัมบราสีออกน้ำเงินและขอบสว่างมาก

ลักษณะของดวงจันทร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง[แก้]

เมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์ไม่ได้หายไปจนมืดทั้งดวง แต่จะเห็นเป็นสีแดงอิฐ เนื่องจากมีการหักเหของแสงอาทิตย์เมื่อส่องผ่านชั้นบรรยากาศของโลก สีของดวงจันทร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน แบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ ดังนี้
  • ระดับ 0 ดวงจันทร์มืดจนแทบมองไม่เห็น
  • ระดับ 1 ดวงจันทร์มืด เห็นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลแต่มองไม่เห็นรายละเอียด ลักษณะพื้นผิวของดวงจันทร์
  • ระดับ 2 ดวงจันทร์มีสีแดงเข้มบริเวณด้านในของเงามืด และมีสีเหลืองสว่างบริเวณด้านนอกของเงามืด
  • ระดับ 3 ดวงจันทร์มีสีแดงอิฐและมีสีเหลืองสว่างบริเวณขอบของเงามืด
  • ระดับ 4 ดวงจันทร์สว่างสีทองแดงหรือสีส้ม ด้านขอบของเงาสว่างมาก